วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

วัดน้ำรอบ





ชื่อโบราณสถาน วัดน้ำรอบ
ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
สถานที่ตั้ง หมู่ที่ ๑ ตำบลน้ำรอบ อำเภอพุนพิน
รายละเอียดโบราณสถาน วัดน้ำรอบ ตั้งอยู่หมู่ ๑ ตำบลน้ำรอบ อำเภอพุนพิน เดิมเป็นวัดเก่าแก่มาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา มีตำนานเล่า ประวัติน้ำรอบว่าสร้างพร้อมกับวัดเขาพระอานนท์ อำเภอพุนพิน และวัดถ้ำสิงขร อำเภอคีรีรัฐนิคม เคยเป็นวัดหลวง
มาก่อนแต่ถูกทิ้งร้างไป จนกระทั่งถึงสมัยรัชกาลที่ ๓ ราวปี พ.ศ. ๒๓๗๑ ทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้หลวงวิจารธาวุธ กรมพระกลาโหม เป็นแม่กองเดินสำรวจรังวัดหัวเมืองปักษ์ใต้ จะยกพระพุทธศาสนาขึ้น หลวงวิจารธาวุธเป็นแม่กองสืบถามเถ้าแก่ ผู้ใหญ่บ้าน ให้รู้ว่าสมเด็จพระมหากษัตริย์แต่ก่อนสืบมาทรงพระราชศรัทธาอุทิศถวายที่ใดเป็นวัด ปู่ย่าตายายได้บอกเล่าต่อๆ กันมาว่าเดิมชื่อวัดหัววังน้ำรอบ มีราชาคณะพระครู หาได้ขึ้นแก่ราชาคณะวัดหัวเมืองไชยาไม่ แต่ขึ้นแก่ราชาคณะเมืองนครศรีธรรมราช พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระพุทธรูปหล่อทรงเครื่องให้แก่วัดน้ำรอบ ๒ องค์ คือ พระพุทธรูปเงินสูง ๒ ศอก หล่อหนักห้าช่าง และพระโมคลาหล่อสูง ๒ ศอก กับพระมณฑปสองยอด ทรงกัลปนาที่ดินแก่วัด พร้อมถวายข้าพระ ๕๐๐ องค์ (ข้อมูลจากหนังสือบุด วัดน้ำรอบ) โบราณสถาน โบราณวัตถุที่สำคัญ ได้แก่
๑) อุโบสถ สร้างด้วยไม้ตำเสา เป็นอาคารทรงไทยหลังคาจั่วมีช่อฟ้าใบระกาและปีกนกรองรับ ๒ ชั้น ส่วนของหลังคามีลักษณะแอ่นโค้งคล้ายท้องสำเภา ผนังโบสถ์เป็นผนังเตี้ยๆ ก่ออิฐฉาบปูนตำ อิฐก่อขึ้นจากพื้นไม่มีฐานบัวรองรับเหมือนโบสถ์ทั่วไป สัดส่วนความสูงระหว่างหลังคากับผนังโบสถ์ประมาณ ๑;๑ ทำให้สันนิษฐานว่าของเดิมอาจเป็นไม้ทั้งหลัง เป็นพระอุโบสถที่ไม่มีหน้าต่าง หันหน้าไปทางทิศตะวันออกมีประตูที่ผนังด้านสกัด (ผนังด้านที่มีหน้าบันหรือจั่วหลังคา) ข้างละ ๑ ประตู ช่องรับแสงคือช่องว่างระหว่างหน้าบันกับผนังโบสถ์ ซึ่งเปิดโล่ง ที่ผนังทุกด้านเจาะเป็นช่องมีลายปูนปั้นประดับ ผนังด้านสกัดมีปูนปั้นรูปเทวดา ส่วนผนังด้านข้างมีปูนปั้นเป็นรูปลายดอกไม้สี่กลีบหน้าบันอุโบสถแกะสลักไม้ หน้าบันด้านทิศตะวันออกแกะเป็นรูปลายพันธ์พฤกษา ตอนล่างแกะเป็นรูปหน้าอสูร
คายก้านใบพันธุ์พฤกษา ที่เสารองรับหน้าบันแกะสลักไม้เป็นลายก้านต่อดอก รับบัวหัวเสาที่แกะเป็นบัวแวง หน้าบันทิศตะวันตกแกะเป็นรูปลายพันธ์พฤกษา มีรูปบุคคลคล้ายเทวดา หรือยักษ์ แสดงอาการเคลื่อนไหวเหาะเหินอยู่ในลายพันธุ์พฤกษา ตรงกลางหน้าบันแกะเป็นรูปอสูร ส่วนของหลังคาบริเวณเชิงชาย แกะสลักเป็นรูปดอกไม้สี่กลีบ ดอกพุดตาน ดอกไม้ลายกระหนกไทย แต่ละด้านสลักลวดลายต่างๆ ไม่เหมือนกัน ลักษณะเป็นศิลปกรรมท้องถิ่นสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ราวรัชกาลที่ ๓ ด้านหน้าพระพุทธรูปประธานในพระอุโบสถมีศิลาจารึกหินชนวนตั้งอยู่ ๑ แผ่น เป็นจารรึกอักษรไทย ภาษาไทย กล่าวถึงการสถาปนาวัด (ดูเรื่องโบราณวัตถุ)
๒) เจดีย์ราย อยู่ทางด้านหน้าอุโบสถ ทางทิศตะวันออก มีเจดีย์ก่ออิฐ ๒ องค์ องค์ซ้ายมือ เป็นเจดีย์ย่อมุมไม้ สิบสองขนาดเล็ก
ประกอบด้วยฐานเขียง ๑ ชั้น รองรับฐานสิงห์และองค์ระฆัง ปล้องไฉน และปลียอด หักหายไป องค์ขวามือ เป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง ประกอบด้วยฐานเขียง ๑ ชั้น ถัดขึ้นไปเป็นฐานสิงห์ ที่ท้องไม้คาดลูกแก้วอกไก่รองรับองค์ระฆัง ส่วนยอดเป็นบัวถลา ถัดขึ้นไปเป็นปล้องไฉน ปลียอด และเม็ดน้ำค้าง ศิลปสมัยอยุธยาตอนปลาย
๓) พระโมคลา เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องประทับยืน ปางประทานอภัย ฉลองพระองค์แบบกษัตริย์ ตกแต่งลวด ลายไทยประดับกระจกสี เป็นสมบัติของวัดตั้งแต่รัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
๔) ศิลาจารึก ทำจากหินชนวน ขนาดกว้าง ๕๓ เซนติเมตร ยาว ๑๑๑ เซนติเมตร หนา ๔.๕ เซนติเมตร จารึกด้วยอักษรไทย ภาษาไทย ใน พ.ศ. ๒๓๗๑

ข้อมูล สนง.วัฒนธรรมจังหวัดสุราษฎร์ธานี ถนนดอนนก อำเภอเมืองฯ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๘๔๐๐๐





องค์แรก พระเทพรัตนกวี
องค์สอง หลวงพ่อนึก
องค์ที่สาม หลวงพ่อขันธ์ (แข็ง

พ่อท่านเขาอ้อ


ท่านเจ้าฟ้า



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น