ในระยะแรกท่านได้สร้างสะพานเพื่อข้ามทุ่งนาที่มีน้ำขังเพื่อให้การเดินทางสะดวกยิ่งขึ้น ต่อมาได้ร่วมกับญาติโยมพุทธบริษัทชาวบ้านเกาะกลางและพื้นที่ใกล้เคียง สร้างสำนักสงฆ์สุวรรณวาปี (สำนักสงฆ์สุวรรณวาปี "สุวรรณ = ทอง ,วาปี = หนอง,บึง " เป็นชื่ที่พระเทพรัตนกวี เจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานีเป็นผู้ตั้ง เพื่อให้สอดคล้องกับสถานที่ตั้งสำนักสงฆ์ ซึ้งตั้งอยู่ ณ บริเวณหนองขุดทอง) พร้อมกันนี้ หลวงพ่อกระจ่างได้ชักชวนชาวบ้านสร้างสะพาน และสร้างถนนสำหรับการสัญจรควบคู่กันไปด้วย ในระหว่างนี้หลวงพ่อกระจ่างได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอย่างคร่ำเคร่งเต็มที่ ถึงขนาดขังตัวเองอยู่ในห้อง 7 วันเต็มๆ ไม่ฉันอาหาร เข้าสมาธิกรรมฐานอย่างเดียว จนชาวบ้านพากันตกใจ คิดว่าหลวงพ่อมรณภาพ ต่างร้องไห้บอกกันต่อๆ กันไปว่าหลวงพ่อกระจ่างตายแล้ว พอครบ 7 วัน หลวงพ่อกระจ่างออกจากห้องกรรมฐาน ปรากฏว่าชาวบ้านไปนั่งร้องไห้ออกันอยู่เต็มหน้าห้อง พอเห็นท่านเดินออกมาจากห้องต่างก้ดีใจวิ่งเข้าหาเกาะแข้งเกาะขา บ้างก็ร้องไห้ บ้างก็หัวเราะกันอื้ออึ้งด้วยความดีใจ หลวงพ่อไม่ตายแล้ว มีผู้ถามหลวงพ่อว่า นั่งอยู่ได้อย่างไร 7 วัน 7 คืน ไม่ฉันข้าวฉันน้ำ หลวงพ่อได้แต่ยิ้มโดยไม่ตอบคำถามใดๆ* (*ผู้เขียนได้สอบถามหลวงพ่อภายหลังถึงการไม่ฉันข้าว ดื่มน้ำ ท่านบอกว่า การเข้าสมาธิจิตใจจะเกิดปิติ จึงไม่รู้สึกหิว ง่วง หรือเหนื่อยล้าแต่อย่างใด แต่หากร่างกายต้องการอาหาร ก็จะเกิดนิมิตว่าโยมแม่นำอาหารมาถวาย จึงไม่มีอาการหิวแต่อย่างใด)
การฝึกวิปัสสนาสมาธิหลวงพ่อท่านเล่าว่า สามารถติดตามดวงวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับได้ บางครั้งหากเกณฑ์ชะตายังไม่สิ้นอายุไขก็อาจตามกลับมาร่างเดิมได้ อย่างเช่น มีชาวบ้านคนหนึ่งชื่อนายพริ้ง ปกติเป็นคนเข้านอนแต่หัวค่ำและตื่นตอนเช้ามืด (ตีสี่ก็ตื่นแล้ว) แต่วันนั้นตาพริ้งเข้านอนแต่ตอนค่ำตีสี่แล้วยังไม่ตื่น จนสายปลุกเท่าไหร่ก็ยังไม่ตื่นอีก จับตัวให้ลุกขึ้นนั่งก็ยังหลับคออ่อนคอพับ ยกให้ขึ้นยืนก็ยืนได้แต่ไม่ตื่น ไม่ยอมลืมตา ไม่รู้สึกตัวใดๆทั้งสิ้น ลูกชายก็วิ่งไปหาหลวงพ่อจ่างให้ไปช่วยปลุกตาพริ้งให้ตื่น หลวงพ่อกระจ่างห่มผ้าตามไปที่บ้าน เห็นตาพริ้งหลับไม่ตื่นจริง ท่านก็เข้าสมาธินิ่งเกือบชั่วโมง ตาพริ้งก็ลืมตาขึ้นมางงๆ หลวงพ่อกระจ่างก็ออกจากสมาธิไล่ๆ กัน แล้วหลวงพ่อกระจ่างก็บอกลากลับวัด หลวงพ่อกระจ่างบอกว่าวิญญาณตาพริ้งออกจากร่างไปไม่กลับ แต่ดวงคนมันยังไม่ถึงที่ หลวงพ่อก็ไปตามดวงวิญญาณกลับมาเข้าร่าง กว่าจะหาเจอก็นั้นแหล่ะเล่นเอาเกือบชั่วโมงเต็ม โน่น! ตามจนเจอที่วัดวิหารโน่น อีกตัวอย่างหนึ่ง เด็กผู้ชายคนหนึ่งเป็นไข้และนอนสลบอยู่ พ่อแม่ก็จะเอาไปฝังเพราะสำคัญว่าตายแน่แล้ว เนื่องจากเด็กไม่หายใจ หลวงพ่อกระจ่างดูแล้วว่าเด็กมันยังไม่ถึงที่ตาย ท่านเพ่งดูทางจิตก็นั่งสมาธิตามวิญญาณไปเอากลับมาเข้าร่างได้
เรื่องปราบผีเป็นเรื่องใหญ่ของชาวบ้าน แต่เกิดขึ้นบ่อยจนกลายเป็นของจำเจ ก่อนที่จะทำการรักษาพวกถูกผีเข้าสิง บางคนมีภูตเข้ามาแฝงร่างเหมือนคนบ้า เ้พ้อเจ้อ พูดไม่รู้เรื่องเลย หลวงพ่อกระจ่างต้องตรวจสอบดูแต่ละคนว่าโดนมาจากไหน จะทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ที่ยากที่สุดท่านว่า คือ พวกที่ถูกคนธรรณ์ต้องใช้เวทมนต์คาถาบางบทที่ไม่ธรรมดา แต่ว่าเราต้องมีพลังเหนือมัน บางครั้งก็ใช้แค่น้ำมนต์ บางคราวถึงขนาดต้องสู้กับพวกหมอผี สู้กันขนาดหนักจนกระทั่งหมอผีต้องถอยหนีถูกของตัวเองย้อนกลับเข้าหาตัวเองก็มี
หลวงพ่่อกระจ่างบอกว่า ท่านศึกษาวิชาไสยเวชศาสตร์จากครูบาอาจารย์เพื่อช่วยชาวบ้านและตัวท่านเอง ตลอดจนเกจิอาจารย์ขลังอีกหลายรูปก็ศึกษาวิชาอาคมเพื่อตั้งใจช่วยชาวบ้านเช่นนี้ ก็ถ้าท่านไม่ช่วยแล้วใครเล่าจะช่วยผู้เคราะห์ร้ายได้รับความทุกข์เหล่านี้ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น