อัตโนประวัติของหลวงพ่อกระจ่าง อนุภาโส (พระครูอนุภาสวุฒิคุณ)
วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555
วัดน้ำรอบ
ชื่อโบราณสถาน วัดน้ำรอบ
ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
สถานที่ตั้ง หมู่ที่ ๑ ตำบลน้ำรอบ อำเภอพุนพิน
รายละเอียดโบราณสถาน วัดน้ำรอบ ตั้งอยู่หมู่ ๑ ตำบลน้ำรอบ อำเภอพุนพิน เดิมเป็นวัดเก่าแก่มาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา มีตำนานเล่า ประวัติน้ำรอบว่าสร้างพร้อมกับวัดเขาพระอานนท์ อำเภอพุนพิน และวัดถ้ำสิงขร อำเภอคีรีรัฐนิคม เคยเป็นวัดหลวง
มาก่อนแต่ถูกทิ้งร้างไป จนกระทั่งถึงสมัยรัชกาลที่ ๓ ราวปี พ.ศ. ๒๓๗๑ ทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้หลวงวิจารธาวุธ กรมพระกลาโหม เป็นแม่กองเดินสำรวจรังวัดหัวเมืองปักษ์ใต้ จะยกพระพุทธศาสนาขึ้น หลวงวิจารธาวุธเป็นแม่กองสืบถามเถ้าแก่ ผู้ใหญ่บ้าน ให้รู้ว่าสมเด็จพระมหากษัตริย์แต่ก่อนสืบมาทรงพระราชศรัทธาอุทิศถวายที่ใดเป็นวัด ปู่ย่าตายายได้บอกเล่าต่อๆ กันมาว่าเดิมชื่อวัดหัววังน้ำรอบ มีราชาคณะพระครู หาได้ขึ้นแก่ราชาคณะวัดหัวเมืองไชยาไม่ แต่ขึ้นแก่ราชาคณะเมืองนครศรีธรรมราช พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระพุทธรูปหล่อทรงเครื่องให้แก่วัดน้ำรอบ ๒ องค์ คือ พระพุทธรูปเงินสูง ๒ ศอก หล่อหนักห้าช่าง และพระโมคลาหล่อสูง ๒ ศอก กับพระมณฑปสองยอด ทรงกัลปนาที่ดินแก่วัด พร้อมถวายข้าพระ ๕๐๐ องค์ (ข้อมูลจากหนังสือบุด วัดน้ำรอบ) โบราณสถาน โบราณวัตถุที่สำคัญ ได้แก่
๑) อุโบสถ สร้างด้วยไม้ตำเสา เป็นอาคารทรงไทยหลังคาจั่วมีช่อฟ้าใบระกาและปีกนกรองรับ ๒ ชั้น ส่วนของหลังคามีลักษณะแอ่นโค้งคล้ายท้องสำเภา ผนังโบสถ์เป็นผนังเตี้ยๆ ก่ออิฐฉาบปูนตำ อิฐก่อขึ้นจากพื้นไม่มีฐานบัวรองรับเหมือนโบสถ์ทั่วไป สัดส่วนความสูงระหว่างหลังคากับผนังโบสถ์ประมาณ ๑;๑ ทำให้สันนิษฐานว่าของเดิมอาจเป็นไม้ทั้งหลัง เป็นพระอุโบสถที่ไม่มีหน้าต่าง หันหน้าไปทางทิศตะวันออกมีประตูที่ผนังด้านสกัด (ผนังด้านที่มีหน้าบันหรือจั่วหลังคา) ข้างละ ๑ ประตู ช่องรับแสงคือช่องว่างระหว่างหน้าบันกับผนังโบสถ์ ซึ่งเปิดโล่ง ที่ผนังทุกด้านเจาะเป็นช่องมีลายปูนปั้นประดับ ผนังด้านสกัดมีปูนปั้นรูปเทวดา ส่วนผนังด้านข้างมีปูนปั้นเป็นรูปลายดอกไม้สี่กลีบหน้าบันอุโบสถแกะสลักไม้ หน้าบันด้านทิศตะวันออกแกะเป็นรูปลายพันธ์พฤกษา ตอนล่างแกะเป็นรูปหน้าอสูร
คายก้านใบพันธุ์พฤกษา ที่เสารองรับหน้าบันแกะสลักไม้เป็นลายก้านต่อดอก รับบัวหัวเสาที่แกะเป็นบัวแวง หน้าบันทิศตะวันตกแกะเป็นรูปลายพันธ์พฤกษา มีรูปบุคคลคล้ายเทวดา หรือยักษ์ แสดงอาการเคลื่อนไหวเหาะเหินอยู่ในลายพันธุ์พฤกษา ตรงกลางหน้าบันแกะเป็นรูปอสูร ส่วนของหลังคาบริเวณเชิงชาย แกะสลักเป็นรูปดอกไม้สี่กลีบ ดอกพุดตาน ดอกไม้ลายกระหนกไทย แต่ละด้านสลักลวดลายต่างๆ ไม่เหมือนกัน ลักษณะเป็นศิลปกรรมท้องถิ่นสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ราวรัชกาลที่ ๓ ด้านหน้าพระพุทธรูปประธานในพระอุโบสถมีศิลาจารึกหินชนวนตั้งอยู่ ๑ แผ่น เป็นจารรึกอักษรไทย ภาษาไทย กล่าวถึงการสถาปนาวัด (ดูเรื่องโบราณวัตถุ)
๒) เจดีย์ราย อยู่ทางด้านหน้าอุโบสถ ทางทิศตะวันออก มีเจดีย์ก่ออิฐ ๒ องค์ องค์ซ้ายมือ เป็นเจดีย์ย่อมุมไม้ สิบสองขนาดเล็ก
ประกอบด้วยฐานเขียง ๑ ชั้น รองรับฐานสิงห์และองค์ระฆัง ปล้องไฉน และปลียอด หักหายไป องค์ขวามือ เป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง ประกอบด้วยฐานเขียง ๑ ชั้น ถัดขึ้นไปเป็นฐานสิงห์ ที่ท้องไม้คาดลูกแก้วอกไก่รองรับองค์ระฆัง ส่วนยอดเป็นบัวถลา ถัดขึ้นไปเป็นปล้องไฉน ปลียอด และเม็ดน้ำค้าง ศิลปสมัยอยุธยาตอนปลาย
๓) พระโมคลา เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องประทับยืน ปางประทานอภัย ฉลองพระองค์แบบกษัตริย์ ตกแต่งลวด ลายไทยประดับกระจกสี เป็นสมบัติของวัดตั้งแต่รัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
๔) ศิลาจารึก ทำจากหินชนวน ขนาดกว้าง ๕๓ เซนติเมตร ยาว ๑๑๑ เซนติเมตร หนา ๔.๕ เซนติเมตร จารึกด้วยอักษรไทย ภาษาไทย ใน พ.ศ. ๒๓๗๑
ข้อมูล สนง.วัฒนธรรมจังหวัดสุราษฎร์ธานี ถนนดอนนก อำเภอเมืองฯ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๘๔๐๐๐
องค์แรก พระเทพรัตนกวี
องค์สอง หลวงพ่อนึก
องค์ที่สาม หลวงพ่อขันธ์ (แข็ง
พ่อท่านเขาอ้อ
ท่านเจ้าฟ้า
ผลงาน
- พ.ศ.2500 ได้ไปช่วยสร้างสะพาน ที่บ้านเกาะกลาง
- สร้างที่พักสงฆ์สุวรรณวาปี ต่อมาเปลี่ยนเป็นวัดเกาะกลาง
- สร้างวัดยางงาม
- สร้างโรงเรียนบ้านเกาะกลาง
- สร้างโรงเรียนบ้านศรีไพรวัลย์
- สร้างถนนสายดอนมะตูม - ทุ่งรม
- สร้างถนนสายทุ่งหลวง - ยางงาม
- สร้างถนนสายทุ่งหลวง - เกาะกลาง
- สร้างถนนสายดอนมะตูม - ท่าผาก
- สร้างถนนสายบ้านเกาะกลาง - บ้านหนองม่วง
- สร้างถนนสายบ้านหนองม่วง - บ้านศรีไพรวัลย์
หลวงพ่อกระจ่าง ได้ตั้งปณิธานที่จะพัฒนาวัดเกาะกลาง ให้เป็นที่พึ่งของชาวบ้านใกล้ไกล หลวงพ่อกระจ่างได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดเกาะกลาง โดยก่อนหน้านี้ท่านได้ริเริ่มสร้างอุโบสถจนแล้วเสร็จ ปัจจุบันท่านได้สร้างกุฏิเจ้าอาวาส ศาลาคู่เมรุและกุฏิสงฆ์
- สร้างที่พักสงฆ์สุวรรณวาปี ต่อมาเปลี่ยนเป็นวัดเกาะกลาง
- สร้างวัดยางงาม
- สร้างโรงเรียนบ้านเกาะกลาง
- สร้างโรงเรียนบ้านศรีไพรวัลย์
- สร้างถนนสายดอนมะตูม - ทุ่งรม
- สร้างถนนสายทุ่งหลวง - ยางงาม
- สร้างถนนสายทุ่งหลวง - เกาะกลาง
- สร้างถนนสายดอนมะตูม - ท่าผาก
- สร้างถนนสายบ้านเกาะกลาง - บ้านหนองม่วง
- สร้างถนนสายบ้านหนองม่วง - บ้านศรีไพรวัลย์
หลวงพ่อกระจ่าง ได้ตั้งปณิธานที่จะพัฒนาวัดเกาะกลาง ให้เป็นที่พึ่งของชาวบ้านใกล้ไกล หลวงพ่อกระจ่างได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดเกาะกลาง โดยก่อนหน้านี้ท่านได้ริเริ่มสร้างอุโบสถจนแล้วเสร็จ ปัจจุบันท่านได้สร้างกุฏิเจ้าอาวาส ศาลาคู่เมรุและกุฏิสงฆ์
เจ้าอาวาสวัดน้ำรอบ
ขณะพำนักจำพรรษาอยู่ที่วัดเกาะกลางที่ท่านสร้าง ก้ได้ทราบว่า พระครูปิยะศีลวัตร เจ้าอาวาสวัดน้ำรอบในขณะนั้น อาจารย์ของท่านถึงแก่มรณภาพ โดยพระครูปิยะศีลวัตร ได้สั่งไว้ก่อนมรณภาพว่า ให้หลวงพ่อกระจ่างเป็นเจ้าอาวาสต่อจากท่าน หลวงพ่อก็เลยต้องกลับไปเป็นเจ้าอาวาสวัดน้ำรอบ หลังจากได้เป็นเจ้าอาวาสวัดน้ำรอบแล้ว ท่านก็ได้พัฒนาวัดน้ำรอบ จึงมีชื่อเสียงและเป็นที่พึ่งของชาวบ้านใกล้ไกล นอกจากนี้ท่านยังได้พัฒนาวัดเกาะกลาง และวัดยางงาม ควบคู่กันไปด้วย วัดน้ำรอบ วัดเกาะกลาง และวัดยางงาม จึงเปรียบเสมือนวัดพี่น้องที่ใกล้ชิดกัน
พลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดช
ขณะที่หลวงพ่อศึกษาวิชาไสยเวชศาสตร์กับหลวงพ่อว่อน วัดท่าเสม็ด หลวงพ่อกระจ่างได้พบกับท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช ศึกเป็นศิษย์หลวงพ่อว่อนเช่นกัน ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นผู้ชักชวนหลวงพ่อไปศึกษาวิชาไสยเวทย์ ณ สำนักเขาอ้อ การที่หลวงพ่อกระจ่างได้พบกับท่านขุนพันธรักษ์ราชเดชและได้พูดคุยจนถุกอัธยาศัยกันดีนั้น ต่อมาภายหลังทั้งสองก็ได้ติดต่อกันเสมอมา โดยในสมัยที่ท่านขุนพันธรักษ์ราชเดชรับราชการอยู่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี บ่อยครั้งที่ได้เดินทางไปเยี่ยมหลวงพ่อกระจ่าง ณ วัดเกาะกลาง ซึ่งหลวงพ่อเป็นเจ้าอาวาส และหากหลวงพ่อกระจ่างเดินทางไปยังจังหวัดนครศรีธรรมราชก็จะแว่ะเยี่ยมท่านขุนพันธรักษ์ราชเดชตามโอกาสอำนวย ทำให้ท่านทั้งสองใกล้ชิดกันมาก โดยในการประกอบพิธีกรรมไสยเวชศาสตร์ในบางครั้ง ท่านขุนพันธรักษ์ราชเดชจะกำชับบุตรชายหรือบุตรสาว ซึ่งรับหน้าที่นิมนต์พระเกจิอาจารย์ ให้นิมนต์หลวงพ่อกระจ่างมาให้ได้ ทำให้หลวงพ่อถุกบังคับทางอ้อมยากจะปฏิเสธได้ ท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นคนแนะนำหลวงพ่อว่าฤกษ์งามยามดีเป็นสิ่งจำเป็นการทำกิจต่างๆ หลวงพ่อจึงสนใจศึกษาวิชาโหราศาสตร์ โดยมีท่านขุนพันธรักษ์ราชเดชเป็นผู้สอนคนแรก ท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นผู้จุดประกายให้หลวงพ่อกระจ่างสร้างโรงเรียนเพื่อให้ลูกหลานได้ศึกษาเล่าเรียน ทำให้หลวงพ่อกระจ่างได้สร้างโรงเรียนบ้านเกาะกลาง และโรงเรียนบ้านศรีไพรวัลย์ ในกาลต่อมา
ปู่โทน หรำแพร
หลวงพ่อกระจ่างเคยได้พบกับ ปู่โทน หรำแพร ที่บ้านตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นศิษย์ฆราวาสคนสำคัญของพระครูโลกอุดร พบพระครูโลกอุดรโดยทางม้ายนต์ ทั้งหลวงพ่อและปู่โทนรู้จักชอบพอกันมานาน เคยได้แลกเปลี่ยนคาถาอาคมและเคยนั่งม้ายนต์ซึ่งเป็นม้าไม้ด้วยกันมาแล้ว ปู่โทนเก่งวิชาคาถาอาคมเมตตามหานิยม ทั้งหลวงพ่อกระจ่างและปู่โทนได้ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ หากมีงานพอธีที่สำคัญของหลวงพ่อกระจ่างก็จะเห็นปู่โทน กลับกัน หากปู่โทนมีงานพุทธาภิเษกก็จะนิมนต์หลวงพ่อเป็นประจำ จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตของปู่โทน หลวงพ่อก็ไปร่วมงานฌาปณกิจ ปู่้โทนเสียชีวิตมีอายุ 108 ปี
ธุดงคสถาน
มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อกระจ่างธุดงค์ไปทางภาคเหนือเป็นหมู่คณะชัก 10 รูปเห็นจะได้ ไปถึงจังหวัดอุทัยธานี มีพระ 3 รูป มีลายแทงเรื่องยาผีบอกว่าพวกฤษีทำไว้ พอไปถึงก็มีหินกลิ้งลงมาหาข้างในมียาที่ฤษีทำไว้ ธุดงค์กันต่อไปถึงถ้ำแห่งหนึ่งหาทางเข้าปากถ้ำไม่ได้เป็นถ้ำที่สำคัญมากก็ไปนอนพักเอาแรงกัน กำลังหลับอยู่พระรูปหนึ่งก็ร้องขึ้นมาว่า โยมอย่าข้าม ก็ถามท่านว่า เกิดอะไรขึ้น พระรูปนั้นเล่าว่าฝันเห็นโยมชาวบ้านมาเดินข้ามตัวท่าน ก็พากันเดินไปทางเดียวกับที่โยมชาวบ้านเดินไปนั้นเอง พบว่า ทางนั้นเป็นช่องทางที่เข้าไปในถ้ำได้ แต่ต้องมุดคลานเข้าไปทีละคน ไปเจองูจงอางขนาดใหญ่เท่าต้นขา แผ่แม่เบี้ยขู่ดังฟ่อๆ ก็ยืนแผ่เมตตาให้ งูจงอางก็เลื้อยหายไปอีกทางหนึ่ง เดินต่อไปก็เห็นตรงที่งูจงอางขดอยู่นั้นมีไหยาวางอยู่ 2 - 3 ไห พอเดินเข้าไปถึงจึงรู้ว่านั้นเป็นหินรูปไหตั้งเรียงกันอยู่ มีน้ำไหลออกมาจากไห เอามือไปรองน้ำก็พบว่าเป้นน้ำมูดผา ลักษณะเป็นน้ำที่ข้นเป็นเมือกๆ ขังอยู่ในหิน มีอนุภาพศักดิ์สิทธิ์มาก กินแล้วมีพลัง ท่านก็ได้เอาน้ำนั้นมาด้วย ถ้ำนี้มีชื่อว่า ช่องกลิ้งช่องกลด จากนั้นก็ได้เดินธุดงค์ไปยังเขตสุโขทัย ไปถึงเขาหลวง ได้ไปพักปักกลดอยู่ที่ถ้ำมเหรถแล้วจึงเดินออกไปยังถ้ำเขาเขียว
สร้างวัดเกาะกลาง
ในระยะแรกท่านได้สร้างสะพานเพื่อข้ามทุ่งนาที่มีน้ำขังเพื่อให้การเดินทางสะดวกยิ่งขึ้น ต่อมาได้ร่วมกับญาติโยมพุทธบริษัทชาวบ้านเกาะกลางและพื้นที่ใกล้เคียง สร้างสำนักสงฆ์สุวรรณวาปี (สำนักสงฆ์สุวรรณวาปี "สุวรรณ = ทอง ,วาปี = หนอง,บึง " เป็นชื่ที่พระเทพรัตนกวี เจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานีเป็นผู้ตั้ง เพื่อให้สอดคล้องกับสถานที่ตั้งสำนักสงฆ์ ซึ้งตั้งอยู่ ณ บริเวณหนองขุดทอง) พร้อมกันนี้ หลวงพ่อกระจ่างได้ชักชวนชาวบ้านสร้างสะพาน และสร้างถนนสำหรับการสัญจรควบคู่กันไปด้วย ในระหว่างนี้หลวงพ่อกระจ่างได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอย่างคร่ำเคร่งเต็มที่ ถึงขนาดขังตัวเองอยู่ในห้อง 7 วันเต็มๆ ไม่ฉันอาหาร เข้าสมาธิกรรมฐานอย่างเดียว จนชาวบ้านพากันตกใจ คิดว่าหลวงพ่อมรณภาพ ต่างร้องไห้บอกกันต่อๆ กันไปว่าหลวงพ่อกระจ่างตายแล้ว พอครบ 7 วัน หลวงพ่อกระจ่างออกจากห้องกรรมฐาน ปรากฏว่าชาวบ้านไปนั่งร้องไห้ออกันอยู่เต็มหน้าห้อง พอเห็นท่านเดินออกมาจากห้องต่างก้ดีใจวิ่งเข้าหาเกาะแข้งเกาะขา บ้างก็ร้องไห้ บ้างก็หัวเราะกันอื้ออึ้งด้วยความดีใจ หลวงพ่อไม่ตายแล้ว มีผู้ถามหลวงพ่อว่า นั่งอยู่ได้อย่างไร 7 วัน 7 คืน ไม่ฉันข้าวฉันน้ำ หลวงพ่อได้แต่ยิ้มโดยไม่ตอบคำถามใดๆ* (*ผู้เขียนได้สอบถามหลวงพ่อภายหลังถึงการไม่ฉันข้าว ดื่มน้ำ ท่านบอกว่า การเข้าสมาธิจิตใจจะเกิดปิติ จึงไม่รู้สึกหิว ง่วง หรือเหนื่อยล้าแต่อย่างใด แต่หากร่างกายต้องการอาหาร ก็จะเกิดนิมิตว่าโยมแม่นำอาหารมาถวาย จึงไม่มีอาการหิวแต่อย่างใด)
การฝึกวิปัสสนาสมาธิหลวงพ่อท่านเล่าว่า สามารถติดตามดวงวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับได้ บางครั้งหากเกณฑ์ชะตายังไม่สิ้นอายุไขก็อาจตามกลับมาร่างเดิมได้ อย่างเช่น มีชาวบ้านคนหนึ่งชื่อนายพริ้ง ปกติเป็นคนเข้านอนแต่หัวค่ำและตื่นตอนเช้ามืด (ตีสี่ก็ตื่นแล้ว) แต่วันนั้นตาพริ้งเข้านอนแต่ตอนค่ำตีสี่แล้วยังไม่ตื่น จนสายปลุกเท่าไหร่ก็ยังไม่ตื่นอีก จับตัวให้ลุกขึ้นนั่งก็ยังหลับคออ่อนคอพับ ยกให้ขึ้นยืนก็ยืนได้แต่ไม่ตื่น ไม่ยอมลืมตา ไม่รู้สึกตัวใดๆทั้งสิ้น ลูกชายก็วิ่งไปหาหลวงพ่อจ่างให้ไปช่วยปลุกตาพริ้งให้ตื่น หลวงพ่อกระจ่างห่มผ้าตามไปที่บ้าน เห็นตาพริ้งหลับไม่ตื่นจริง ท่านก็เข้าสมาธินิ่งเกือบชั่วโมง ตาพริ้งก็ลืมตาขึ้นมางงๆ หลวงพ่อกระจ่างก็ออกจากสมาธิไล่ๆ กัน แล้วหลวงพ่อกระจ่างก็บอกลากลับวัด หลวงพ่อกระจ่างบอกว่าวิญญาณตาพริ้งออกจากร่างไปไม่กลับ แต่ดวงคนมันยังไม่ถึงที่ หลวงพ่อก็ไปตามดวงวิญญาณกลับมาเข้าร่าง กว่าจะหาเจอก็นั้นแหล่ะเล่นเอาเกือบชั่วโมงเต็ม โน่น! ตามจนเจอที่วัดวิหารโน่น อีกตัวอย่างหนึ่ง เด็กผู้ชายคนหนึ่งเป็นไข้และนอนสลบอยู่ พ่อแม่ก็จะเอาไปฝังเพราะสำคัญว่าตายแน่แล้ว เนื่องจากเด็กไม่หายใจ หลวงพ่อกระจ่างดูแล้วว่าเด็กมันยังไม่ถึงที่ตาย ท่านเพ่งดูทางจิตก็นั่งสมาธิตามวิญญาณไปเอากลับมาเข้าร่างได้
เรื่องปราบผีเป็นเรื่องใหญ่ของชาวบ้าน แต่เกิดขึ้นบ่อยจนกลายเป็นของจำเจ ก่อนที่จะทำการรักษาพวกถูกผีเข้าสิง บางคนมีภูตเข้ามาแฝงร่างเหมือนคนบ้า เ้พ้อเจ้อ พูดไม่รู้เรื่องเลย หลวงพ่อกระจ่างต้องตรวจสอบดูแต่ละคนว่าโดนมาจากไหน จะทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ที่ยากที่สุดท่านว่า คือ พวกที่ถูกคนธรรณ์ต้องใช้เวทมนต์คาถาบางบทที่ไม่ธรรมดา แต่ว่าเราต้องมีพลังเหนือมัน บางครั้งก็ใช้แค่น้ำมนต์ บางคราวถึงขนาดต้องสู้กับพวกหมอผี สู้กันขนาดหนักจนกระทั่งหมอผีต้องถอยหนีถูกของตัวเองย้อนกลับเข้าหาตัวเองก็มี
หลวงพ่่อกระจ่างบอกว่า ท่านศึกษาวิชาไสยเวชศาสตร์จากครูบาอาจารย์เพื่อช่วยชาวบ้านและตัวท่านเอง ตลอดจนเกจิอาจารย์ขลังอีกหลายรูปก็ศึกษาวิชาอาคมเพื่อตั้งใจช่วยชาวบ้านเช่นนี้ ก็ถ้าท่านไม่ช่วยแล้วใครเล่าจะช่วยผู้เคราะห์ร้ายได้รับความทุกข์เหล่านี้ได้
การฝึกวิปัสสนาสมาธิหลวงพ่อท่านเล่าว่า สามารถติดตามดวงวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับได้ บางครั้งหากเกณฑ์ชะตายังไม่สิ้นอายุไขก็อาจตามกลับมาร่างเดิมได้ อย่างเช่น มีชาวบ้านคนหนึ่งชื่อนายพริ้ง ปกติเป็นคนเข้านอนแต่หัวค่ำและตื่นตอนเช้ามืด (ตีสี่ก็ตื่นแล้ว) แต่วันนั้นตาพริ้งเข้านอนแต่ตอนค่ำตีสี่แล้วยังไม่ตื่น จนสายปลุกเท่าไหร่ก็ยังไม่ตื่นอีก จับตัวให้ลุกขึ้นนั่งก็ยังหลับคออ่อนคอพับ ยกให้ขึ้นยืนก็ยืนได้แต่ไม่ตื่น ไม่ยอมลืมตา ไม่รู้สึกตัวใดๆทั้งสิ้น ลูกชายก็วิ่งไปหาหลวงพ่อจ่างให้ไปช่วยปลุกตาพริ้งให้ตื่น หลวงพ่อกระจ่างห่มผ้าตามไปที่บ้าน เห็นตาพริ้งหลับไม่ตื่นจริง ท่านก็เข้าสมาธินิ่งเกือบชั่วโมง ตาพริ้งก็ลืมตาขึ้นมางงๆ หลวงพ่อกระจ่างก็ออกจากสมาธิไล่ๆ กัน แล้วหลวงพ่อกระจ่างก็บอกลากลับวัด หลวงพ่อกระจ่างบอกว่าวิญญาณตาพริ้งออกจากร่างไปไม่กลับ แต่ดวงคนมันยังไม่ถึงที่ หลวงพ่อก็ไปตามดวงวิญญาณกลับมาเข้าร่าง กว่าจะหาเจอก็นั้นแหล่ะเล่นเอาเกือบชั่วโมงเต็ม โน่น! ตามจนเจอที่วัดวิหารโน่น อีกตัวอย่างหนึ่ง เด็กผู้ชายคนหนึ่งเป็นไข้และนอนสลบอยู่ พ่อแม่ก็จะเอาไปฝังเพราะสำคัญว่าตายแน่แล้ว เนื่องจากเด็กไม่หายใจ หลวงพ่อกระจ่างดูแล้วว่าเด็กมันยังไม่ถึงที่ตาย ท่านเพ่งดูทางจิตก็นั่งสมาธิตามวิญญาณไปเอากลับมาเข้าร่างได้
เรื่องปราบผีเป็นเรื่องใหญ่ของชาวบ้าน แต่เกิดขึ้นบ่อยจนกลายเป็นของจำเจ ก่อนที่จะทำการรักษาพวกถูกผีเข้าสิง บางคนมีภูตเข้ามาแฝงร่างเหมือนคนบ้า เ้พ้อเจ้อ พูดไม่รู้เรื่องเลย หลวงพ่อกระจ่างต้องตรวจสอบดูแต่ละคนว่าโดนมาจากไหน จะทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ที่ยากที่สุดท่านว่า คือ พวกที่ถูกคนธรรณ์ต้องใช้เวทมนต์คาถาบางบทที่ไม่ธรรมดา แต่ว่าเราต้องมีพลังเหนือมัน บางครั้งก็ใช้แค่น้ำมนต์ บางคราวถึงขนาดต้องสู้กับพวกหมอผี สู้กันขนาดหนักจนกระทั่งหมอผีต้องถอยหนีถูกของตัวเองย้อนกลับเข้าหาตัวเองก็มี
หลวงพ่่อกระจ่างบอกว่า ท่านศึกษาวิชาไสยเวชศาสตร์จากครูบาอาจารย์เพื่อช่วยชาวบ้านและตัวท่านเอง ตลอดจนเกจิอาจารย์ขลังอีกหลายรูปก็ศึกษาวิชาอาคมเพื่อตั้งใจช่วยชาวบ้านเช่นนี้ ก็ถ้าท่านไม่ช่วยแล้วใครเล่าจะช่วยผู้เคราะห์ร้ายได้รับความทุกข์เหล่านี้ได้
วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2555
สำนักวิปัสสนา ณ วัดน้ำรอบ
หลังจากที่ท่านเรียนวิปัสสนากรรมฐานและสอบผ่านครบหลักสูตรแล้ว ท่านได้เดินทางกลับวัดน้ำรอบ และเปิดสำนักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ณ วัดน้ำรอบ ซึ่งมีคนมาปฏิบัติกันเยอะมาก ตอนนั่งกรรมฐานจะมีนิมิตมาหลายอย่างด้วยกัน ปรากฏให้เห็นชัดแจ้งแม้ในสิ่งที่เราเคยทำ ทำดีก็ได้เห็น ทำไม่ดีก็ได้เห็น เห็นมาทั้งหมดทั้งภูตผีปีศาจ โดยสำนักวิปัสสนากรรมฐานเปิดอบรมอยู่ได้ ประมาณ 4 ปี ท่านจึงได้เดินทางไปสร้างสำนักสงฆ์ที่บ้านเกาะกลาง ซึ่งเป็นบ้านเกิด โดยท่านเห็นว่าบ้านเกาะกลางเป็นชุมชนทางเสือผ่าน เพื่อป้องกันโจรผู้ร้าย และป้องกันไม่ให้ลูกหลานญาติพี่น้องจะต้องตกไปเป็นโจรตามสภาพแวดล้อมดังกล่าว
สำนักวิปัสสนากรรมฐาน
ปี พ.ศ. 2498 ที่วัดพระบรมธาตุไชยราชวรวิหาร มีครูมาสอนวิปัสสนากรรมฐานแบบภาวนา ยุบหนอพองหนอ หลวงพ่อกระจ่างก็ได้ไปอบรมกรรมฐานที่นั้น ได้เรียนอยู่ถึงสองปีเต็ม ท่านเล่าว่าไปเรียนกรรมฐานที่วัดบรมธาตุไชยาในตอนนั้น รู้สึกมันดีมาก มันได้พละ มีความรู้สึกว่าจิตมันนิ่งดี ท่านต้องฝึกจิตมาตลอด 24 ชั่วโมงเต็ม นั่ง 9 โมงเช้า ไปจนถึง 9 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้น ไม่หยุดไม่พัก เพราะเข้าสมาธิมันเท่ากับพักผ่อนจิตไปในตัวอยู่แล้ว คือจิตมันนิ่งอยู่กับที่ มันโปร่ง มันเบาเหมือนไม่หายใจ ตัวตนหายไปหมด สบายเหมือนไม่มีอะไรเลย ในการอบรมวิปัสสนากรรมฐานดังกล่าวปรากฎว่าเมื่อครบหลักสูตรแล้วมีผู้สอบผ่านหลักสูตรจำนวน 2 คน คือ หลวงพ่อกระจ่าง กับแม่ชีอีกคนหนึ่ง
หลวงพ่อสมุห์ทองพิมพ์ ภัทรมุนี
วัดหัวสวน ตำบลหัวเตย อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
หลวงพ่อพิมพ์ เก่งทางด้านวิชาแพทย์แผนโบราณ โดยเฉพาะยารักษาโรคที่แก้โรคภายในภายนอก จำพวกฝี หรือฟกช้ำ เรียกว่าพอเห็นปั๊บจะรุ้ทันที่ว่าเป็นฝีประเภทไหน หลวงพ่อกระจ่างมีโอกาสได้ศึกษาวิชาอาคม ตลอดจนเรื่องตำรายาหยูกยาแก้ฝีกับหลวงพ่อพิมพ์ วิชาทำขี้ผึ้งเป็นเมตตามหานิยมก็ได้จากหลวงพ่อพิมพ์เหมือนกน สีผึ้งเมตตามหานิยมหลวงพ่อกระจ่าง ท่านมักเรียกว่า " ขี้ผึ้ง " ท่านจะเอาผงอิทธิเจที่ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนมาจากท่านพระครูวิสาท หรือหลวงพ่อว่อน วัดท่าเสม็ด อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช ผสมลงไปด้วย
หลวงพ่อพิมพ์ เก่งทางด้านวิชาแพทย์แผนโบราณ โดยเฉพาะยารักษาโรคที่แก้โรคภายในภายนอก จำพวกฝี หรือฟกช้ำ เรียกว่าพอเห็นปั๊บจะรุ้ทันที่ว่าเป็นฝีประเภทไหน หลวงพ่อกระจ่างมีโอกาสได้ศึกษาวิชาอาคม ตลอดจนเรื่องตำรายาหยูกยาแก้ฝีกับหลวงพ่อพิมพ์ วิชาทำขี้ผึ้งเป็นเมตตามหานิยมก็ได้จากหลวงพ่อพิมพ์เหมือนกน สีผึ้งเมตตามหานิยมหลวงพ่อกระจ่าง ท่านมักเรียกว่า " ขี้ผึ้ง " ท่านจะเอาผงอิทธิเจที่ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนมาจากท่านพระครูวิสาท หรือหลวงพ่อว่อน วัดท่าเสม็ด อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช ผสมลงไปด้วย
หลวงพ่อแดง คุณสัมปัญโน
วัดวิหาร ตำบลน้ำรอบ อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ขณะที่หลวงพ่อกระจ่างศึกษาวิชาไสยเวชศาสตร์อยู่กับหลวงพ่อพัว วัดบางเดือน สุดยอดพระเกจิอาจารย์เมตตามหานิยมอาคมขลัง หลวงพ่อกระจ่าง ท่านได้ไปศึกษากับหลวงพ่อแดง วัดวิหารควบคู่กันไปด้วย โดยได้ทั้งเรื่องหยูกยารักษาคนด้วยสมุนไพร และเวทมนต์คาถาอีกมากมาย
ตอนนั้นได้ศึกษาวิชาอาคมทั้งหลายจากหลวงพ่อพัว วัดบางเดือน และหลวงพ่อแดง วัดวิหาร หลวงพ่อกระจ่างเล่าว่าท่านถูกอาจารย์ทั้งสองเรียกตัวไปสอบจิต ว่ามีความสามารถเชี่ยวชาญในวิชาอาคมอยู่ในขั้นใด และขาดสิ่งใด เพื่อจะได้สอนเพิ่มเติมให้ ก็มาพบว่า สิ่งที่ต้องเคี่ยวเข็ญหนักก็คือ พลังจิต ยิ่งตอนที่ท่านไปฝึกกับหลวงพ่อพิมพ์ ท่านสอนว่า จะทำอะไร แก้ไขสิ่งใด ให้ยกจิตให้สูงไว้ อย่าได้อยู่ในความประมาท และอย่ากลัว เพราะผู้ที่จะทำทิศหมอนได้จิตใจต้องมีพลังและต้องสะอาด คือมีจิตสูงนั้นเอง
ขณะที่หลวงพ่อกระจ่างศึกษาวิชาไสยเวชศาสตร์อยู่กับหลวงพ่อพัว วัดบางเดือน สุดยอดพระเกจิอาจารย์เมตตามหานิยมอาคมขลัง หลวงพ่อกระจ่าง ท่านได้ไปศึกษากับหลวงพ่อแดง วัดวิหารควบคู่กันไปด้วย โดยได้ทั้งเรื่องหยูกยารักษาคนด้วยสมุนไพร และเวทมนต์คาถาอีกมากมาย
ตอนนั้นได้ศึกษาวิชาอาคมทั้งหลายจากหลวงพ่อพัว วัดบางเดือน และหลวงพ่อแดง วัดวิหาร หลวงพ่อกระจ่างเล่าว่าท่านถูกอาจารย์ทั้งสองเรียกตัวไปสอบจิต ว่ามีความสามารถเชี่ยวชาญในวิชาอาคมอยู่ในขั้นใด และขาดสิ่งใด เพื่อจะได้สอนเพิ่มเติมให้ ก็มาพบว่า สิ่งที่ต้องเคี่ยวเข็ญหนักก็คือ พลังจิต ยิ่งตอนที่ท่านไปฝึกกับหลวงพ่อพิมพ์ ท่านสอนว่า จะทำอะไร แก้ไขสิ่งใด ให้ยกจิตให้สูงไว้ อย่าได้อยู่ในความประมาท และอย่ากลัว เพราะผู้ที่จะทำทิศหมอนได้จิตใจต้องมีพลังและต้องสะอาด คือมีจิตสูงนั้นเอง
วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555
ท่านพระครูสถิตสันตคุณ (หลวงพ่อพัว เกสโร)
วัดจันทร์ประดิษฐาราม (วัดบางเดือน) ตำบลบางเดือน อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
กราบลาท่านพระครูวิสาท หรือหลวงพ่อว่อน กลับวัดน้ำรอบพร้อมด้วยวิชาอาคมความรู้ที่อัดแน่นเต็มหัวใจ หลวงพ่อกระจ่างวันนี้กับหลวงพ่อกระจ่างเมื่อสองปีก่อนห่างกันไกลนัก จิตที่ทรงพลังเข้มแข็งขึ้นด้วยพลัง อุดธัง อัดโธฯ อาคมคงกระพันชาตรีที่ไ้ด้รับการถ่ายทอดมาจากหลวงพ่อว่อน ทำให้ท่านมีความมั่นคงและความมั่นใจตนเองยิ่งขึ้น ก็มาได้ข่าวว่า หลวงพ่อพัว วัดบางเดือน ท่านมีวิชาอาคมด้านเมตตามหานิยมเป็นเลิศ สมัยนั้นหลวงพ่อจ่างท่านห้าวหาญมาก คำพูดคำจาไม่กริ่งเกรงผู้หนึ่งผู้ใด ยิ่งได้ชิชาดีทางด้านคงกระพันชาตรีเยี่ยมยอดอย่างนี้ยิ่งห้าวหาญหนักเข้าไปใหญ่ คนที่รู้ประวัติเดิมหลวงพ่อกระจ่าง ก่อนจะมาบวชเป็นพระ เสือร้ายดีๆ นี่เอง มุทะลุ ดุดัน ไม่เป็นสองรองใคร เรื่องยอมคนสำหรับหลวงพ่อจ่างยาก มาได้หลวงพ่อพัวเป็นครูอาจารย์ ท่านก็อบรมว่า เราอยู่ อย่าให้คนเขาเกลียด ให้รัก สิ่งสำคัญมันอยู่ที่กริยามารยาท อยู่ที่วาจา ภายนอกให้ดีอย่างไรข้างในก็ให้เป็นไปตามนั้น หลวงพ่อพัวให้ท่านเริ่มต้นกับวิชาเมตตามหานิยม ชนิดที่คนทั่วไปได้ยินแล้วต้องคิดว่าง่ายแสนง่าย แต่กับหลวงพ่อกระจ่างวิชานี้ไม่ง่ายเลย คาถาอาคมบทแรกที่หลวงพ่อพวให้หลวงพ่อกระจ่าง ทำให้แตกฉานให้สำเร็จเป็นเมตตามหานิยมสุดยอดขึ้นมาให้ได้ก็คือ นะ เมตตา โม กรุณา พุท ปราณี ธา ยินดี ยะ เอ็นดู เพียงแค่นี้ แต่ทว่าหลวงพ่อกระจ่างต้องใช้เวลาเป็นอย่างมากที่จะทำให้นะเมตตา ปรากฎเป็นมหานิยมได้
สมัยก่อนครูบาอาจารย์ท่านจะใช้คาถาบทนี้อักขระ 5 ตัว หรือพระเจ้า 5 พระองค์ ด้วยการตื่นแต่เช้าลงไปยืนข้างๆ ต้นไม่ริมรั้ว ที่มียอดฟักทองเลื้อยเกาะ แล้วท่านจะยื่นแขนออกไปให้ห่างจากยอดฟักทองเล็กน้อย แล้วท่านจะหลับตาภาวนาคาถาพระเจ้า 5 พระองค์ บทนี้ไปเรื่อยๆ จิตของท่านจะพุ่งจับอยู่ที่ยอดฟักทอง แล้วดึงจิตกลับมาที่แขนของท่านให้พุ่งเข้าไปอยู่กลางใจของท่าน จนทำให้ยอดฟักทองเลื้อยออกมาพันแขน ท่านก็จะตัดเอายอดฟักทองมาผสมทำผงพระ เป็นมวลสารสุดยอดมหานิยมที่หาได้ยากที่สุด หลวงพ่อกระจ่างฝึกฝนด้วยคาถาบทนี้จนเกิดพลังจิตอันยิ่งใหญ่ เป็นพลังจิตที่ขาวสะอาดผิดแปลกแตกต่างไปจากความมุทะลุดุดันที่มีมาแต่เก่าก่อนโดยสิ้นเชิง ระยะนี้เองที่หลวงพ่อมีราศีเจิดจ้า ใครเห็นใครรัก เมตตามหานิยมนี้บังเกิดอยู่อย่างพอเพียง พลังเมตตาท่วมท้นหัวใจท่าน จะกล่าวคำหนึ่งคำใดกับผู้ใดก็มีแต่ความเมตตากรุณา คำพูดคำจาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงโดยมิได้ปั้นแต่ง สมกับที่หลวงพ่อพัวสอนว่า สิ่งสำคัญมันอยู่ที่กริยามารยาท วาจา ภายนอกเป็นอย่างไร ข้างในก็ให้เป็นไปตามนั้น
กราบลาท่านพระครูวิสาท หรือหลวงพ่อว่อน กลับวัดน้ำรอบพร้อมด้วยวิชาอาคมความรู้ที่อัดแน่นเต็มหัวใจ หลวงพ่อกระจ่างวันนี้กับหลวงพ่อกระจ่างเมื่อสองปีก่อนห่างกันไกลนัก จิตที่ทรงพลังเข้มแข็งขึ้นด้วยพลัง อุดธัง อัดโธฯ อาคมคงกระพันชาตรีที่ไ้ด้รับการถ่ายทอดมาจากหลวงพ่อว่อน ทำให้ท่านมีความมั่นคงและความมั่นใจตนเองยิ่งขึ้น ก็มาได้ข่าวว่า หลวงพ่อพัว วัดบางเดือน ท่านมีวิชาอาคมด้านเมตตามหานิยมเป็นเลิศ สมัยนั้นหลวงพ่อจ่างท่านห้าวหาญมาก คำพูดคำจาไม่กริ่งเกรงผู้หนึ่งผู้ใด ยิ่งได้ชิชาดีทางด้านคงกระพันชาตรีเยี่ยมยอดอย่างนี้ยิ่งห้าวหาญหนักเข้าไปใหญ่ คนที่รู้ประวัติเดิมหลวงพ่อกระจ่าง ก่อนจะมาบวชเป็นพระ เสือร้ายดีๆ นี่เอง มุทะลุ ดุดัน ไม่เป็นสองรองใคร เรื่องยอมคนสำหรับหลวงพ่อจ่างยาก มาได้หลวงพ่อพัวเป็นครูอาจารย์ ท่านก็อบรมว่า เราอยู่ อย่าให้คนเขาเกลียด ให้รัก สิ่งสำคัญมันอยู่ที่กริยามารยาท อยู่ที่วาจา ภายนอกให้ดีอย่างไรข้างในก็ให้เป็นไปตามนั้น หลวงพ่อพัวให้ท่านเริ่มต้นกับวิชาเมตตามหานิยม ชนิดที่คนทั่วไปได้ยินแล้วต้องคิดว่าง่ายแสนง่าย แต่กับหลวงพ่อกระจ่างวิชานี้ไม่ง่ายเลย คาถาอาคมบทแรกที่หลวงพ่อพวให้หลวงพ่อกระจ่าง ทำให้แตกฉานให้สำเร็จเป็นเมตตามหานิยมสุดยอดขึ้นมาให้ได้ก็คือ นะ เมตตา โม กรุณา พุท ปราณี ธา ยินดี ยะ เอ็นดู เพียงแค่นี้ แต่ทว่าหลวงพ่อกระจ่างต้องใช้เวลาเป็นอย่างมากที่จะทำให้นะเมตตา ปรากฎเป็นมหานิยมได้
สมัยก่อนครูบาอาจารย์ท่านจะใช้คาถาบทนี้อักขระ 5 ตัว หรือพระเจ้า 5 พระองค์ ด้วยการตื่นแต่เช้าลงไปยืนข้างๆ ต้นไม่ริมรั้ว ที่มียอดฟักทองเลื้อยเกาะ แล้วท่านจะยื่นแขนออกไปให้ห่างจากยอดฟักทองเล็กน้อย แล้วท่านจะหลับตาภาวนาคาถาพระเจ้า 5 พระองค์ บทนี้ไปเรื่อยๆ จิตของท่านจะพุ่งจับอยู่ที่ยอดฟักทอง แล้วดึงจิตกลับมาที่แขนของท่านให้พุ่งเข้าไปอยู่กลางใจของท่าน จนทำให้ยอดฟักทองเลื้อยออกมาพันแขน ท่านก็จะตัดเอายอดฟักทองมาผสมทำผงพระ เป็นมวลสารสุดยอดมหานิยมที่หาได้ยากที่สุด หลวงพ่อกระจ่างฝึกฝนด้วยคาถาบทนี้จนเกิดพลังจิตอันยิ่งใหญ่ เป็นพลังจิตที่ขาวสะอาดผิดแปลกแตกต่างไปจากความมุทะลุดุดันที่มีมาแต่เก่าก่อนโดยสิ้นเชิง ระยะนี้เองที่หลวงพ่อมีราศีเจิดจ้า ใครเห็นใครรัก เมตตามหานิยมนี้บังเกิดอยู่อย่างพอเพียง พลังเมตตาท่วมท้นหัวใจท่าน จะกล่าวคำหนึ่งคำใดกับผู้ใดก็มีแต่ความเมตตากรุณา คำพูดคำจาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงโดยมิได้ปั้นแต่ง สมกับที่หลวงพ่อพัวสอนว่า สิ่งสำคัญมันอยู่ที่กริยามารยาท วาจา ภายนอกเป็นอย่างไร ข้างในก็ให้เป็นไปตามนั้น
สำนักตักศิลาวัดเขาอ้อ
วัดเขาอ้อ ตั้งอยู่หมู่ที่ 3 ต.มะกอกเหนือ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง
ขณะที่หลวงพ่อศึกษาวิชาไสยเวชศาสตร์กับหลวงพ่อว่อน วัดเท่าเสม็ด อยู่นั้น หลวงพ่อกระจ่างได้พบกับท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช ศิษย์ฆราวาสคนสำคัญของสำนักเขาอ้อ หลัังจากได้พูดคุยถูกอัธยาศัยกันแล้ว ท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช ได้ชักชวนหลวงพ่อกระจ่างไปศึกษาวิชา ณ สำนักเขาอ้อ หลวงพ่อกระจ่างได้เดินทางไปยังสำนักเขาอ้อ ซึ่งเป็นแหล่งวิทยาคมไสยเวชศาสตร์ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังตั้งแต่สมัยโบราณจนมีการขนานนามว่า " ตักศิลาแห่งไสยศาสตร์ " สำหรับสำนักเขาอ้อนั้นมีพิธีกรรมที่สำคัญอยู่ 4 อย่าง คือ
1. พิธีเสกว่าให้กิน ทำโดยการนำว่าที่เชื่อว่ามีสรรพคุณทางด้านอยู่ยงคงกระพันมาลงอักขระเลขยันต์ แล้วนำไปปลุกเสกด้วยคาถาอาคม หลังเสร็จพิธีจะนำมาแจกจ่ายให้กิน
2. พิธีหุงข้าวเหนียวดำ ทำโดยนำเครื่องยาสมุนไพรหรือว่านต่างๆ ไม่น้อยกว่า 108 ชนิด มาต้มเอาน้ำยาใช้หุงกับข้าวเหนียวดำ เมื่อข้าวเหนียวสุกแล้วนำไปเข้าพิธีปลุกเสกก่อนนำมาป้อนให้กิน
3. พิธีเสกน้ำมันงาดิบ ทำโดยใช้น้ำมันงาดิบหรือน้ำมันยางแดงผสมว่าน พระอาจารยืเป้นผู้ประกอบพิธีนั่งบริกรรมคาถาจนน้ำมันแห้งแล้วจึงนำมาป้อนให้กิน
4. พิธีแช่ว่านยา ทำโดยให้ผู้ต้องการเข้าประกอบพิธีกรรม ลงไปนอนแช่ในน้ำว่านยาที่ได้ปลุกเสกตามหลักไสยเวชศาสตร์จากพระอาจารย์ผู้ประกอบพิธีกรรมแล้ว
หลวงพ่อกระจ่าง ได้ลงไปแช่น้ำว่านที่บนเขาในพิธีของสำนักวัดเขาอ้อ ท่านบอกว่าแช่ครั้งละหลายวัน แช่กันเป็นเดือน เวลาแช่น้ำว่านจะเป็นพระหรือฆราวาสลงไปแช่พร้อมกัน นอนโผล่แต่จมูกพอให้หายใจได้ ให้น้ำว่านซึมเข้านื้อ นอนพร้อมกันครั้งละ 7 คน เรียงกัน ในพิธีห้ามผู้หญิงเข้าไปเด็ดขาด มีสายสิญจน์ล้อมรอบ เป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของสำนักวัดเขาอ้อ หลวงพ่อกระจ่างบอกว่าการแช่น้ำว่านที่สำนักวัดเขาอ้อ แช่เพื่อให้หนังเหนียว คงกระพัน ฟันแทงไม่เข้า ว่านที่เอามาแช่เยอะมากมายหลายอย่าง โดยนำมาแช่รวมไว้ในรางปูนหรือบางครั้งก็ใส่เรือ มีเครื่องปรุงน้ำว่านมากมายต้องปลุกเสกแล้วเอามาต้ม ขนาดลงไปแช่เฉยๆ โผล่มาแต่จมูกกับใบหน้า แช่กันทั้งวันทั้งคืนไม่เป็นอันกินอันนอน คนหนุ่มจิตใจมันห้าวหาญคิดจะแช่ให้หนังเหนียวอย่างเดียว เรียกว่าแช่กันจนตัวดำเป็นเมี่ยง อาจารย์ที่เสกว่านก็คือ ท่านอาจารย์ปานแห่งสำนักเขาอ้อ ตอนนั้นท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อ พ่อท่านเอียดเป้นเจ้าอาวาสวัดดอนศาลา ทั้งสองท่านเป็นปรมาจารย์ไสยเวชศาสตร์ แห่งสำนักเขาอ้อ หนังเหนียวทั้งคู่ ไม่มีใครแพ้ใคร พ่อท่านทองเฒ่า อดีตเจ้าอาวาสปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักเข้าอ้อ จึงต้องส่งพ่อท่านเอียดไปดูแลสืบสานวัดดอนศาลาเอาไว้ ส่วนท่านอาจารย์ปาน ก็อยู่ที่สำนักเขาอ้อและเป็นเจ้าอาวาสในกาลต่อมา อีกองค์หนึ่งที่ขลังมากทางเมตตามหานิยมอาคมแคล้วคลาดสุดยอด คือหลวงพ่อคล้อย อโนโม วัดภูเขาทอง ศิษย์เอกพ่อท่านเอียด
ขณะที่หลวงพ่อศึกษาวิชาไสยเวชศาสตร์กับหลวงพ่อว่อน วัดเท่าเสม็ด อยู่นั้น หลวงพ่อกระจ่างได้พบกับท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช ศิษย์ฆราวาสคนสำคัญของสำนักเขาอ้อ หลัังจากได้พูดคุยถูกอัธยาศัยกันแล้ว ท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช ได้ชักชวนหลวงพ่อกระจ่างไปศึกษาวิชา ณ สำนักเขาอ้อ หลวงพ่อกระจ่างได้เดินทางไปยังสำนักเขาอ้อ ซึ่งเป็นแหล่งวิทยาคมไสยเวชศาสตร์ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังตั้งแต่สมัยโบราณจนมีการขนานนามว่า " ตักศิลาแห่งไสยศาสตร์ " สำหรับสำนักเขาอ้อนั้นมีพิธีกรรมที่สำคัญอยู่ 4 อย่าง คือ
1. พิธีเสกว่าให้กิน ทำโดยการนำว่าที่เชื่อว่ามีสรรพคุณทางด้านอยู่ยงคงกระพันมาลงอักขระเลขยันต์ แล้วนำไปปลุกเสกด้วยคาถาอาคม หลังเสร็จพิธีจะนำมาแจกจ่ายให้กิน
2. พิธีหุงข้าวเหนียวดำ ทำโดยนำเครื่องยาสมุนไพรหรือว่านต่างๆ ไม่น้อยกว่า 108 ชนิด มาต้มเอาน้ำยาใช้หุงกับข้าวเหนียวดำ เมื่อข้าวเหนียวสุกแล้วนำไปเข้าพิธีปลุกเสกก่อนนำมาป้อนให้กิน
3. พิธีเสกน้ำมันงาดิบ ทำโดยใช้น้ำมันงาดิบหรือน้ำมันยางแดงผสมว่าน พระอาจารยืเป้นผู้ประกอบพิธีนั่งบริกรรมคาถาจนน้ำมันแห้งแล้วจึงนำมาป้อนให้กิน
4. พิธีแช่ว่านยา ทำโดยให้ผู้ต้องการเข้าประกอบพิธีกรรม ลงไปนอนแช่ในน้ำว่านยาที่ได้ปลุกเสกตามหลักไสยเวชศาสตร์จากพระอาจารย์ผู้ประกอบพิธีกรรมแล้ว
หลวงพ่อกระจ่าง ได้ลงไปแช่น้ำว่านที่บนเขาในพิธีของสำนักวัดเขาอ้อ ท่านบอกว่าแช่ครั้งละหลายวัน แช่กันเป็นเดือน เวลาแช่น้ำว่านจะเป็นพระหรือฆราวาสลงไปแช่พร้อมกัน นอนโผล่แต่จมูกพอให้หายใจได้ ให้น้ำว่านซึมเข้านื้อ นอนพร้อมกันครั้งละ 7 คน เรียงกัน ในพิธีห้ามผู้หญิงเข้าไปเด็ดขาด มีสายสิญจน์ล้อมรอบ เป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของสำนักวัดเขาอ้อ หลวงพ่อกระจ่างบอกว่าการแช่น้ำว่านที่สำนักวัดเขาอ้อ แช่เพื่อให้หนังเหนียว คงกระพัน ฟันแทงไม่เข้า ว่านที่เอามาแช่เยอะมากมายหลายอย่าง โดยนำมาแช่รวมไว้ในรางปูนหรือบางครั้งก็ใส่เรือ มีเครื่องปรุงน้ำว่านมากมายต้องปลุกเสกแล้วเอามาต้ม ขนาดลงไปแช่เฉยๆ โผล่มาแต่จมูกกับใบหน้า แช่กันทั้งวันทั้งคืนไม่เป็นอันกินอันนอน คนหนุ่มจิตใจมันห้าวหาญคิดจะแช่ให้หนังเหนียวอย่างเดียว เรียกว่าแช่กันจนตัวดำเป็นเมี่ยง อาจารย์ที่เสกว่านก็คือ ท่านอาจารย์ปานแห่งสำนักเขาอ้อ ตอนนั้นท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อ พ่อท่านเอียดเป้นเจ้าอาวาสวัดดอนศาลา ทั้งสองท่านเป็นปรมาจารย์ไสยเวชศาสตร์ แห่งสำนักเขาอ้อ หนังเหนียวทั้งคู่ ไม่มีใครแพ้ใคร พ่อท่านทองเฒ่า อดีตเจ้าอาวาสปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักเข้าอ้อ จึงต้องส่งพ่อท่านเอียดไปดูแลสืบสานวัดดอนศาลาเอาไว้ ส่วนท่านอาจารย์ปาน ก็อยู่ที่สำนักเขาอ้อและเป็นเจ้าอาวาสในกาลต่อมา อีกองค์หนึ่งที่ขลังมากทางเมตตามหานิยมอาคมแคล้วคลาดสุดยอด คือหลวงพ่อคล้อย อโนโม วัดภูเขาทอง ศิษย์เอกพ่อท่านเอียด
วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555
ท่านพระครูวิสาท (หลวงพ่อว่อน)
วัดท่าเสม็ด อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช ปี พ.ศ. 2495 - 2497
หลวงพ่อว่อน เป็นศิษย์องค์สำคัญองค์หนึ่งของพ่อท่านเอียด วัดดอนศาลา ซึ่งเป็นเกจิอาจารย์ระดับปรมาจารย์ทางไสยศาสตร์ของสำนักวัดเขาอ้อ จงหวัดพัทลุง
เมื่อหลวงพ่อกระจ่างตั้งใจแน่วแน่แล้ว จึงได้เดินทางออกจากวัดน้ำรอบไปยังจังหวัดนครศรีธรรมราช แห่งแรกที่ท่านนึกถึงมาก คือ ท่านพระครูวิสาท หรือหลวงพ่อว่อน วัดท่าเสม็ด อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช ท่านได้ศึกษาวิชาอาคมด้านอยู่ยงคงกระพัน ได้ฝึกฝนทำตระกรุดทิศหมอน หรือตระกุดพิศมร หลวงพ่อว่อนได้ถ่ายทอดวิชาอาคมกันปืนด้วยคาถา อุดธัง อัดโธ โธอุด ธังอัด ฯ ท่านได้ใช้เวลาฝึกฝนนานมาก วิชากันปืนไม่ใช่จะศึกษากันง่ายๆ เพราะไม่ใช่วิทยาศาสตร์ แต่เป็นวิชาที่เรียนด้วยอาคมไสยศาสตร์ ฝึกฝนด้วยพลังจิต จิตต้องกล้าแกร่ง อดทนพรากเพีัยรเต็มที่ ใจต้องกล้าหาญจึงจะเรียนสำเร็จได้ กว่าจะผ่านแต่ละขั้นตอนออกมาได้ก็ต้องถูกหลวงพ่อว่อนทดสอบแล้วทดสอบอีก ในที่สุดหลวงพ่อกระจ่างสอบผ่านทำตระกรุดทิศหมอนกันปืนได้สำเร็จ
ขั้นต่อไปหลวงพ่อว่อนให้ท่านเจริญเมตตาและศึกษาวิชาอาคมเสกเป่าทำน้ำมนต์ วิชานี้ดูจะเบามาก ผ่านได้ง่ายเมื่อเทียบกับตระกรุดทิศหมอน สมันนั้นหลวงพ่อกระจ่างหุงน้ำมันเสกเป่าเป็นว่าเล่น หุงแล้วเสก หุงแล้วเสกอยู่นั้น สนุกกับวิชาอาคมมาก หลวงพ่อกระจ่างได้ศึกษาวิชาเกี่ยวกับการเสกน้ำมัน เสกของให้คนกิน คนที่ถูกของถูกผีเข้ามีเยอะมาก ปกติท่านจะเสกให้กิน อาจจะเป็นพวกสมุนไพรและผลไม้ แต่ถ้าโดนมาหนักก็ต้องเสกน้ำมนต์รักษา เวลาดูแลรักษาผู้ที่โดนผีเข้าหรือโดนของจะสั่นงันงกร้องโอดโอยโหยหวน บางคนก็ไปโดนลมเพลมพัดมา บางคนถูกยาสั่ง* (* ผู้ที่ถูกยาสั่งลักษณะภายนอกขอบตาจะดำ หากกินอาหารหรือสิ่งของที่ผู้ทำไสยเวชสั่งไว้นั้นแล้วอาจถึงตายได้ หรืออาจจะปวดท้องอยู่ตลอดเวลา การรักษาจึงต้องให้ความรู้ตามหลักไสยเวชที่ศึกษามา เพราะถ้าแก้ไม่ถุกอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้) หลวงพ่อกระจ่างบอกว่าตอนเรียนนั้นมีชาวบ้านโดนยาสั่ง หรือผีเข้ามาให้ทดลองอยู่เรื่อยตลอดเวลาไม่ขาดสาย การทดสอบวิชาของหลวงพ่อว่อนจะคอยกำกับควบคุมสั่งสอนอย่างใกล้ชิดไม่ให้พลั้งเผลอแม้แต่นิดเดียว เรียกว่าคุมกันทุกฝีก้าวเลยก็ว่าได้โดยเฉพาะผู้ที่ถูกยาสั่งซึ่งมีพิษ จะต้องรักษาโดยการใช้สมุนไพรเสกให้กินเพียงอย่างเดียว
หลวงพ่อว่อน ยังได้สอนให้หลวงพ่อกระจ่างทำผงอิทธิเจ ซึ่งเป็นวิชาเมตตามหานิยม ผงอิทธิเจเกิดจากการใช้ผงดินสอพองซึ่งเป็นผงจากปูนเปลือกหอย มาปั้นเป็นแท่งดินสอที่เรียกว่าดินสอพอง แล้วเขียนสูตรคาถาเป็นตัวอักขระหนังสือขอม เขียนให้ครบสูตรจนจบแล้วแพ่งภาวนาลบตัวอักขระลงมาเป็นผงเก็บไว้ แล้วเขียนใหม่ลบอีก เขียนๆ ลบๆ อยู่อย่างนั้นจนครบบทคาถาอาคม แล้วเอาผงนั้นซึ่งเรียกว่า ผงอิทธิเจ อันนี้จะเอาไปผสมแป้ง ผสมสีผึ้ง หรือผสมน้ำมัน หลวงพ่อว่อนเคี่ยวเข็ญจนท่านได้ศึกษาได้สำเร็จทำได้อย่างเดียวกับอาจารย์จนหลวงพ่อว่อนพอใจ
หลวงพ่อว่อนยังได้สอนวิชาเกี่ยวกับเรื่องยารักษาโรค หลวงพ่อกระจ่าง ให้ความสำคัญกัวิชานี้มากและตั้งใจศึกษาอย่างเต็มที่ เนื่องจากสมัยก่อนในชนบทไม่มีโรงพยาบาลหรืออนามัยหมู่บ้าน เจ็บป่วยแต่ละครั้งต้องเดินกันเป็นหลายสิบกิโลถึงจะเข้าตัวเมืองได้ การคมนาคมก็ไม่สะดวก การรักษาโดยใช้สมุนไพรจึงจำเป็นอย่างยิ่ง
การเรียนวิชาไสยเวชศาสตร์ นอกจากท่องบทคาถาแล้ว ผู้เล่าเรียนจะต้องลงมือปฏิบัติควบคู่กันไปด้วย สองปีเต็มที่หลวงพ่อจ่างทุ่มเทเล่าเรียนวิชาคาถาอาคม หลวงพ่อว่อนจึงสั่งให้หลวงพ่อกระจ่างงดบิณฑบาต ให้ฝึกสมาธิรักษาศีลและฝึกฝนวิชาการเรียนอาคมอย่างเดียว
ท่านจึงเก่งและขลังในเรื่องของคงกระพันชาตรี แม้การหุงน้ำมันหลวงพ่อกระจ่างเล่าว่า หลวงพ่อว่อนเป็นอาจารย์ที่ดุ และเคร่งครัดมาก เวลาเรียนวิชาคาถาอาคมจะทำเป็นเล่นไม่ได้ต้องเรียนกันจริงๆ จังๆ ฝึกจริงและให้รู้จริงก็ต้องทำได้จริง มีผลให้พิสูจน์และท่านตรวจสอบได้ หลวงพ่อกระจ่างโดนหลวงพ่อว่อนสอบเป็นประจำ เมื่อมอบวิชา มอบคาถาอาคมบทไหนไปฝึกสำเร็จแล้วได้ผลอย่างไรต้องมาทำให้ท่านดู เวลาทำให้ท่านดูก็ไม่ใช่ว่าจะให้ท่านดูได้เพียงครั้งเดียว ต้องทำให้ท่านดูจนมั่นใจเชื่อได้ว่าทำได้แล้วจริงๆ เรียกว่าเจนจบในวิชานั้นแล้วจึงจะต่อในวิชาต่อไป ผู้ได้ฝึกฝนวิชาคาถาอาคมเวทย์มนต์ไสยศาสตร์จากหลวงพ่อว่อน จึงไม่ต่างจากพ่อท่านเอียด วัดดอนศาลา นั่นเอง จึงไม่ผิดเพี้ยนแต่อย่างใดหากจะกล่าวว่าหลวงพ่อกระจ่าง วัดน้ำรอบคือศิษย์สำนักวัดเขาอ้อ จังหวัดพัทลุง รุปหนึ่งเฉกเช่น หลวงพ่อพรหม หลวงปู่แก้ว พระครูกาชาด ท่านอาจารย์ศรีเงิน หลวงพ่อคง หรือหลวงพ่อคล้อยนั้นเอง
หลวงพ่อว่อน เป็นศิษย์องค์สำคัญองค์หนึ่งของพ่อท่านเอียด วัดดอนศาลา ซึ่งเป็นเกจิอาจารย์ระดับปรมาจารย์ทางไสยศาสตร์ของสำนักวัดเขาอ้อ จงหวัดพัทลุง
เมื่อหลวงพ่อกระจ่างตั้งใจแน่วแน่แล้ว จึงได้เดินทางออกจากวัดน้ำรอบไปยังจังหวัดนครศรีธรรมราช แห่งแรกที่ท่านนึกถึงมาก คือ ท่านพระครูวิสาท หรือหลวงพ่อว่อน วัดท่าเสม็ด อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช ท่านได้ศึกษาวิชาอาคมด้านอยู่ยงคงกระพัน ได้ฝึกฝนทำตระกรุดทิศหมอน หรือตระกุดพิศมร หลวงพ่อว่อนได้ถ่ายทอดวิชาอาคมกันปืนด้วยคาถา อุดธัง อัดโธ โธอุด ธังอัด ฯ ท่านได้ใช้เวลาฝึกฝนนานมาก วิชากันปืนไม่ใช่จะศึกษากันง่ายๆ เพราะไม่ใช่วิทยาศาสตร์ แต่เป็นวิชาที่เรียนด้วยอาคมไสยศาสตร์ ฝึกฝนด้วยพลังจิต จิตต้องกล้าแกร่ง อดทนพรากเพีัยรเต็มที่ ใจต้องกล้าหาญจึงจะเรียนสำเร็จได้ กว่าจะผ่านแต่ละขั้นตอนออกมาได้ก็ต้องถูกหลวงพ่อว่อนทดสอบแล้วทดสอบอีก ในที่สุดหลวงพ่อกระจ่างสอบผ่านทำตระกรุดทิศหมอนกันปืนได้สำเร็จ
ขั้นต่อไปหลวงพ่อว่อนให้ท่านเจริญเมตตาและศึกษาวิชาอาคมเสกเป่าทำน้ำมนต์ วิชานี้ดูจะเบามาก ผ่านได้ง่ายเมื่อเทียบกับตระกรุดทิศหมอน สมันนั้นหลวงพ่อกระจ่างหุงน้ำมันเสกเป่าเป็นว่าเล่น หุงแล้วเสก หุงแล้วเสกอยู่นั้น สนุกกับวิชาอาคมมาก หลวงพ่อกระจ่างได้ศึกษาวิชาเกี่ยวกับการเสกน้ำมัน เสกของให้คนกิน คนที่ถูกของถูกผีเข้ามีเยอะมาก ปกติท่านจะเสกให้กิน อาจจะเป็นพวกสมุนไพรและผลไม้ แต่ถ้าโดนมาหนักก็ต้องเสกน้ำมนต์รักษา เวลาดูแลรักษาผู้ที่โดนผีเข้าหรือโดนของจะสั่นงันงกร้องโอดโอยโหยหวน บางคนก็ไปโดนลมเพลมพัดมา บางคนถูกยาสั่ง* (* ผู้ที่ถูกยาสั่งลักษณะภายนอกขอบตาจะดำ หากกินอาหารหรือสิ่งของที่ผู้ทำไสยเวชสั่งไว้นั้นแล้วอาจถึงตายได้ หรืออาจจะปวดท้องอยู่ตลอดเวลา การรักษาจึงต้องให้ความรู้ตามหลักไสยเวชที่ศึกษามา เพราะถ้าแก้ไม่ถุกอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้) หลวงพ่อกระจ่างบอกว่าตอนเรียนนั้นมีชาวบ้านโดนยาสั่ง หรือผีเข้ามาให้ทดลองอยู่เรื่อยตลอดเวลาไม่ขาดสาย การทดสอบวิชาของหลวงพ่อว่อนจะคอยกำกับควบคุมสั่งสอนอย่างใกล้ชิดไม่ให้พลั้งเผลอแม้แต่นิดเดียว เรียกว่าคุมกันทุกฝีก้าวเลยก็ว่าได้โดยเฉพาะผู้ที่ถูกยาสั่งซึ่งมีพิษ จะต้องรักษาโดยการใช้สมุนไพรเสกให้กินเพียงอย่างเดียว
หลวงพ่อว่อน ยังได้สอนให้หลวงพ่อกระจ่างทำผงอิทธิเจ ซึ่งเป็นวิชาเมตตามหานิยม ผงอิทธิเจเกิดจากการใช้ผงดินสอพองซึ่งเป็นผงจากปูนเปลือกหอย มาปั้นเป็นแท่งดินสอที่เรียกว่าดินสอพอง แล้วเขียนสูตรคาถาเป็นตัวอักขระหนังสือขอม เขียนให้ครบสูตรจนจบแล้วแพ่งภาวนาลบตัวอักขระลงมาเป็นผงเก็บไว้ แล้วเขียนใหม่ลบอีก เขียนๆ ลบๆ อยู่อย่างนั้นจนครบบทคาถาอาคม แล้วเอาผงนั้นซึ่งเรียกว่า ผงอิทธิเจ อันนี้จะเอาไปผสมแป้ง ผสมสีผึ้ง หรือผสมน้ำมัน หลวงพ่อว่อนเคี่ยวเข็ญจนท่านได้ศึกษาได้สำเร็จทำได้อย่างเดียวกับอาจารย์จนหลวงพ่อว่อนพอใจ
หลวงพ่อว่อนยังได้สอนวิชาเกี่ยวกับเรื่องยารักษาโรค หลวงพ่อกระจ่าง ให้ความสำคัญกัวิชานี้มากและตั้งใจศึกษาอย่างเต็มที่ เนื่องจากสมัยก่อนในชนบทไม่มีโรงพยาบาลหรืออนามัยหมู่บ้าน เจ็บป่วยแต่ละครั้งต้องเดินกันเป็นหลายสิบกิโลถึงจะเข้าตัวเมืองได้ การคมนาคมก็ไม่สะดวก การรักษาโดยใช้สมุนไพรจึงจำเป็นอย่างยิ่ง
การเรียนวิชาไสยเวชศาสตร์ นอกจากท่องบทคาถาแล้ว ผู้เล่าเรียนจะต้องลงมือปฏิบัติควบคู่กันไปด้วย สองปีเต็มที่หลวงพ่อจ่างทุ่มเทเล่าเรียนวิชาคาถาอาคม หลวงพ่อว่อนจึงสั่งให้หลวงพ่อกระจ่างงดบิณฑบาต ให้ฝึกสมาธิรักษาศีลและฝึกฝนวิชาการเรียนอาคมอย่างเดียว
ท่านจึงเก่งและขลังในเรื่องของคงกระพันชาตรี แม้การหุงน้ำมันหลวงพ่อกระจ่างเล่าว่า หลวงพ่อว่อนเป็นอาจารย์ที่ดุ และเคร่งครัดมาก เวลาเรียนวิชาคาถาอาคมจะทำเป็นเล่นไม่ได้ต้องเรียนกันจริงๆ จังๆ ฝึกจริงและให้รู้จริงก็ต้องทำได้จริง มีผลให้พิสูจน์และท่านตรวจสอบได้ หลวงพ่อกระจ่างโดนหลวงพ่อว่อนสอบเป็นประจำ เมื่อมอบวิชา มอบคาถาอาคมบทไหนไปฝึกสำเร็จแล้วได้ผลอย่างไรต้องมาทำให้ท่านดู เวลาทำให้ท่านดูก็ไม่ใช่ว่าจะให้ท่านดูได้เพียงครั้งเดียว ต้องทำให้ท่านดูจนมั่นใจเชื่อได้ว่าทำได้แล้วจริงๆ เรียกว่าเจนจบในวิชานั้นแล้วจึงจะต่อในวิชาต่อไป ผู้ได้ฝึกฝนวิชาคาถาอาคมเวทย์มนต์ไสยศาสตร์จากหลวงพ่อว่อน จึงไม่ต่างจากพ่อท่านเอียด วัดดอนศาลา นั่นเอง จึงไม่ผิดเพี้ยนแต่อย่างใดหากจะกล่าวว่าหลวงพ่อกระจ่าง วัดน้ำรอบคือศิษย์สำนักวัดเขาอ้อ จังหวัดพัทลุง รุปหนึ่งเฉกเช่น หลวงพ่อพรหม หลวงปู่แก้ว พระครูกาชาด ท่านอาจารย์ศรีเงิน หลวงพ่อคง หรือหลวงพ่อคล้อยนั้นเอง
ศึกษาวิชาไสยเวชศาสตร์
หลวงพ่อกระจ่างได้เห็นครูบาอาจารย์หลายรูปที่มีวิชาอาคมเก่งกล้า แต่ทว่าครูบาอาจารย์เหล่านั้นล้วนเป็นผู้ทรงคุณธรรมสูงส่งทั้งสิ้น ท่านทั้งหลายล้วนเป็นผู้มีเมตตาธรรมในจิตเป็นที่ตั้ง หลวงพ่อกระจ่างตั้งข้อสังเกตในใจว่า เมื่อครูบาอาจารย์เหล่านั้นมีวิชาอาคมเก่งกล้า ท่านได้นำเอาวิชาอาคมไสยศาสตร์มาช่วยชาวบ้านทั้งหลาย โดยไม่มีท่านใดนำวิชาอาคมมาหากินแต่อย่างใด กลับนำไปช่วยเหลือชาวบ้านผู้ทุกข์ร้อนให้ผ่อนคลายเบาบางลง แม่แต่ครูบาอาจารย์ของหลววงพ่อกระจ่างเองก็สั่งสอนท่านไว้ว่า เมื่อได้วิชาไปแล้วอย่าไปหลอกชาวบ้าน เพราะชาวบ้านทั้งหลายเป็นคนที่น่าส่งสารทั้งนั้น เป็นพระต้องมีธรรมมะให้สูงกว่าชาวบ้านธรรมดา ยิ่งเมตตาต้องเจริญให้มากให้เป็นที่พึ่งของชาวบ้านให้ได้ หลวงพ่อกระจ่างจึงคิดที่จะศึกษาวิชาไสยเวชศาสตร์ตั้งแต่พรรษาที่สาม เพื่อวิชาความรู้ด้านไสยศาสตร์คาถาอาคมมาช่วยเหลือชาวบ้าน
วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2555
อุปสมบท
พระครูอนุภาสวุฒิคุณ ได้เข้าสู่ร่มสากาวพัสตร์ เมื่อวันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม 2493 ขระมีอายุ 21 ปี โดยอุปสมบท ณ พัทสีมาวัดวิหาร ตำบลน้ำรอบ อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีท่านเจ้าคุณอุดมธรรมปรีชา วัดตรณาราม เจ้าคณะจังหวัดเป็นพระอุปัชณาย์ พระมหาสว่าง ปทุมโม เป็นพระกรรมวาจารย์ และพระมหาเฟื้อ อุตรญาโน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ตรงกับเวลา 16.09 น. ได้รับฉายา อนุภาโส หลังบวชแล้วพระกระจ่างได้มาจำพรรษาที่วัดน้ำรอบ เพื่อปฏิบัติกรรมฐานอุปัฎฐานอาจารย์ คือ พระครูปิยศีลวัตร (นึก) เจ้าอาวาสวัดน้ำรอบ
สอบได้ปริยัติ
- พ.ศ. 2493 สอบได้นักธรรมชั้นตรี
- พ.ศ. 2494 สอบได้นักธรรมชั้นโท
- พ.ศ. 2496 สอบได้นักธรรมชั้นเอก
สมณศักดิ์
- พ.ศ. 2520 เป็นพระสมุห์ ฐานานุกรม
- พ.ศ. 2524 เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นสามัญ ที่พระครูอนุภาสวุฒิคุณ
- พ.ศ. 2535 เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นโท ที่สมญานามเดิม
- พ.ศ. 2547 เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นเอก ที่สมญานามเดิม
หน้าที่การงาน
- พ.ศ. 2500 เจ้าอาวาสวัดเกาะกลาง
- พ.ศ. 2524 เป็นเจ้าอาวาสวัดน้ำรอบ
- พ.ศ. 2530 เป็นพระอุปัชณาย์
- พ.ศ. 2531 เป็นเจ้าคณะตำบลหนองไทร
- พ.ศ. 2547 เป็นเจ้าคณะอำเภอเคียนซา
- พ.ศ. 2550 เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอเคียนซา
สอบได้ปริยัติ
- พ.ศ. 2493 สอบได้นักธรรมชั้นตรี
- พ.ศ. 2494 สอบได้นักธรรมชั้นโท
- พ.ศ. 2496 สอบได้นักธรรมชั้นเอก
สมณศักดิ์
- พ.ศ. 2520 เป็นพระสมุห์ ฐานานุกรม
- พ.ศ. 2524 เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นสามัญ ที่พระครูอนุภาสวุฒิคุณ
- พ.ศ. 2535 เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นโท ที่สมญานามเดิม
- พ.ศ. 2547 เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นเอก ที่สมญานามเดิม
หน้าที่การงาน
- พ.ศ. 2500 เจ้าอาวาสวัดเกาะกลาง
- พ.ศ. 2524 เป็นเจ้าอาวาสวัดน้ำรอบ
- พ.ศ. 2530 เป็นพระอุปัชณาย์
- พ.ศ. 2531 เป็นเจ้าคณะตำบลหนองไทร
- พ.ศ. 2547 เป็นเจ้าคณะอำเภอเคียนซา
- พ.ศ. 2550 เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอเคียนซา
การศึกษา
หลวงพ่อกระจ่างได้ใกล้ชิดกับวัดตั้งแต่เยาว์วัย โดยโยมบิดาได้ฝากให้อยู่วัดกับหลวงพ่อแข็ง เจ้าอาวาสวัดน้ำรอบ และเริ่มศึกษาหนังสือชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ณ โรงเรียนวัดน้ำรอบ ขณะมีอายุ 7 ขวบ พอเลื่อนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ได้ย้ายไปเรียนบ้านดอนมะตูมจนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ขณะเรียนอยู่ ร โรงเรียนบ้่านดอนมตูม มีเหตุจำเป้นต้องย้ายไปเรียนยังโรงเรียนเกษมบำรุง (ขนาย) และย้ายกลับมาเรียนที่โรงเรียนบ้านดอนมะตูมอีกครั้งจนจบชั้นประถมศึกษา 7
วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2555
อัตโนประวัติ หลวงพ่อกระจ่าง
พระครูอนุภาสวุฒิคุณ
(หลวงพ่อกระจ่าง อนุภาโส)
(อายุ 85 ปี พรรษา 62)
ชาติภูมิ
หลวงพ่อกระจ่าง พื้นเพเดิมเป็นชาวบ้านเกาะกลาง หมู่ 2 ตำบลน้ำรอบ อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี บ้านเดียวกันกับหลวงพ่อแดง คุณสมฺปันโน (อดีตเจ้าอาวาสวัดวิหาร) และหลวงพ่อพลอย (มรณภาพที่รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย)
ท่านมีชื่อเดิมว่า กระจ่าง นามสกุล อินทรศฤงคาร เกิดเมื่อ วันอาทิตย์ ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2471 ตรงกับขึ้น 8 ค่ำ เดือน 4 ปีมะโรง เวลา 08.00 นาฬิกา ณ บ้านเกาะกลาง หมู่2 ตำบลน้ำรอบ อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี โยมบิดาชื่อ นายปลีก อินทรศฤงคาร โยมมารดาชื่อ นางแจ่ม อินทรศฤงคาร มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันคือ
1. พระครูอนุภาสวุฒิคุณ (กระจ่าง อินทรศฤงคาร)
2. เด็กหญิงจีบ อินทรศฤงคาร (เสียชีวิต)
3. นางจวง อินทรศฤงคาร
4. เด็กหญิงเกราะ อินทรศฤงคาร (เสียชีวิต)
5. นายจวน อินทรศฤงคาร
6. นางแจก อินทรศฤงคาร
ขณะที่หลวงพ่อมีอายุได้ 13 ปี โยมบิดาถึงแก่กรรม หลวงพ่อกระจ่าง จึงเป็นเสาหลักในการช่วยโยมแม่ทำนาและเลี้ยงดูน้องๆ ต่อมาเมื่ออายุได้ 20 ปี โยมแม่ถึงแก่กรรม ภาระเลี้ยงดูน้องๆ จึงตกแก่หลวงพ่อโดยปริยาย
หลวงพ่อเล่าว่า ขณะนั้นอายุยังน้อยแต่ต้องรับภาระเสาหลักของครอบครัว ทำให้ต้องกระทำทุกอย่างทั้งงานนอกบ้านและในบ้านโดยตื่นเช้าจะต้องไปปีนต้นตาลเพื่อเก้บน้ำตาล เสร็จจากเก็บน้ำตาลก็ต้องเคี่ยวน้ำตาล จากนั้นก็ออกไปทำนา ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2486 - 2487 ได้เกิดสงครามเอเชียบูรพา ทหารญี่ปุ่นยกทัพขึ้นบก ณ อ่าวบ้านดอน และได้ตั้งสนามบิน ณ บ้านหัวเตย (กองบิน 7 ปัจจุบัน) หลวงพ่อกระจ่างจึงไปรับจ้างลากไม้เพื่อนำมาทำสนามบิน โดยได้รับค่าจ้างท่อนละ 5 บาท หลวงพ่อเล่าว่าชาวบ้านบางคนแอบไปขโมยไม้หรือทรัพย์สินของพวกทหารญี่ปุ่น เมื่อถูกญี่ปุ่นจับได้จะนำไปจองจำไว้โดยการใช้เชือกหวายสอดเข้าไปในเส้นเอ็นร้อยหวาย พวกที่ขโมยน้ำมันก็ถูกจับกรอกน้ำมัน ทำให้ไม่มีใครกล้าขโมยอีกต่อไป
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)